การก่อสร้างเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล การประเมินราคาโครงการงานก่อสร้างอย่างแม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ช่วยให้เจ้าของโครงการวางแผนงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายในกรอบที่กำหนด บทความนี้เป็นความรู้ส่วนหนึ่งสำหรับการประเมินราคาโครงการงานก่อสร้าง ครอบคลุมทั้งวิธีการ ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา
เลือกอ่าน
วิธีการประเมินราคางานก่อสร้าง
มีวิธีการประเมินราคาอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป วิธีการที่ใช้กันทั่วไปมากที่สุด 3 วิธี ดังนี้
- การประมาณราคาแบบเหมาจ่าย (Lump Sum)
วิธีนี้เหมาะสำหรับงานที่มีแบบแปลนและรายละเอียดครบถ้วน ผู้รับเหมาจะเสนอราคาเหมาจ่ายสำหรับงานทั้งหมด เจ้าของโครงการสามารถเปรียบเทียบราคาจากผู้รับเหมาหลายรายได้ง่าย แต่ต้องระวังเรื่องการเสนอราคาต่ำเกินจริง ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพงาน
- การประมาณราคาแบบค่าแรงและวัสดุ (Cost Plus)
วิธีนี้เหมาะสำหรับงานที่ยังไม่มีแบบแปลนที่ชัดเจน ผู้รับเหมาจะคิดค่าแรงและค่าวัสดุตามจริง บวกกับกำไร เจ้าของโครงการต้องควบคุมการใช้วัสดุและค่าแรงอย่างใกล้ชิด
- การประมาณราคาแบบหน่วยงาน (Unit Price)
วิธีนี้เหมาะสำหรับงานที่สามารถแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยได้ เช่น งานทาสี งานปูกระเบื้อง ผู้รับเหมาจะเสนอราคาต่อหน่วย เจ้าของโครงการสามารถคำนวณราคางานทั้งหมดโดยคูณราคาต่อหน่วยกับจำนวนหน่วย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา
มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อราคางานก่อสร้าง ปัจจัยหลักๆ ได้แก่
- ประเภทของงาน: งานแต่ละประเภทมีราคาแตกต่างกัน งานที่ใช้วัสดุและแรงงานที่มีราคาสูง ย่อมมีราคาสูงกว่า
- ขนาดของงาน: งานที่มีขนาดใหญ่ ย่อมมีราคาสูงกว่างานที่มีขนาดเล็ก
- ความซับซ้อนของงาน: งานที่มีความซับซ้อน ย่อมมีราคาสูงกว่างานที่เรียบง่าย
- สถานที่ก่อสร้าง: งานที่ก่อสร้างในสถานที่ที่เข้าถึงยาก ย่อมมีราคาสูงกว่า
- ระยะเวลาก่อสร้าง: งานที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างนาน ย่อมมีราคาสูงกว่า
- ราคาตลาด: ราคาตลาดของวัสดุก่อสร้างและค่าแรงช่าง จะมีผลต่อราคางานก่อสร้าง
ตัวอย่างราคางานก่อสร้าง
ราคางานก่อสร้างจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา ตัวอย่างราคางานก่อสร้างโดยประมาณ มีดังนี้
- งานก่อสร้างบ้าน: 15,000 - 25,000 บาทต่อตารางเมตร
- งานก่อสร้างอาคารพาณิชย์: 20,000 - 30,000 บาทต่อตารางเมตร
- งานก่อสร้างโรงงาน: 25,000 - 35,000 บาทต่อตารางเมตร
เทคนิคการประเมินราคางาน
1. ศึกษาราคากลางของวัสดุก่อสร้าง
เจ้าของโครงการควรศึกษาราคากลางของวัสดุก่อสร้างในท้องตลาด เปรียบเทียบราคาจากร้านค้าหลายแห่ง เลือกซื้อวัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม และจะยิ่งประหยัดและเซฟค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นไปอีก หากท่านมีผู้แทนขายประจำตัวที่คอยให้คำปรึกษาและเสนอราคาสินค้าในราคาเฉพาะโครงการ ชนิดที่ท่านไม่สามารถหาได้จากหน้าร้านหรือร้านค้าวัสดุก่อสร้างออนไลน์ที่อื่น สนใจมีผู้แทนขายประจำตัว
2. เปรียบเทียบราคาจากผู้รับเหมาหลายราย
ควรติดต่อผู้รับเหมาหลายรายเพื่อขอใบเสนอราคา เปรียบเทียบราคา รายละเอียดของงาน ระยะเวลาก่อสร้าง เงื่อนไขการชำระเงิน เลือกผู้รับเหมาที่มีความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ และผลงานที่ตรงตามความต้องการ
3. ตรวจสอบใบเสนอราคาอย่างละเอียด
ก่อนตัดสินใจเลือกผู้รับเหมา ควรตรวจสอบใบเสนอราคาอย่างละเอียด ตรวจสอบรายการวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง ระยะเวลาก่อสร้าง เงื่อนไขการชำระเงิน เงื่อนไขการรับประกัน ฯลฯ
4. ทำสัญญาจ้างเหมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
สัญญาจ้างเหมาเป็นเอกสารสำคัญที่ระบุรายละเอียดของงาน, ราคา, ระยะเวลาก่อสร้าง, เงื่อนไขการชำระเงิน, เงื่อนไขการรับประกัน ฯลฯ ควรอ่านสัญญาอย่างละเอียดก่อนลงนาม
5. ควบคุมการใช้วัสดุและค่าแรง
เจ้าของโครงการควรควบคุมการใช้วัสดุและค่าแรงอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบความคืบหน้าของงานอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันปัญหาการทุจริต
6. เผื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ควรเผื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับงานก่อสร้าง ประมาณ 10% ของราคางานก่อสร้าง เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
สรุปได้แบบนี้
การประเมินราคางานก่อสร้างอย่างแม่นยำ มีความสำคัญมากต่อความสำเร็จของโครงการ เจ้าของโครงการควรศึกษาข้อมูล ศึกษาราคากลางของวัสดุก่อสร้าง เปรียบเทียบราคาจากผู้รับเหมาหลายราย ตรวจสอบใบเสนอราคาอย่างละเอียด ทำสัญญาจ้างเหมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ควบคุมการใช้วัสดุและค่าแรง เผื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เท่านี้ก็จะสามารถประเมินราคางานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับการประเมินราคาสำหรับงานก่อสร้าง ราคางานก่อสร้างที่แท้จริงอาจจะแตกต่างจากนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
แหล่งข้อมูลสำหรับการประเมินราคางานก่อสร้าง
มีแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่สามารถใช้สำหรับการประเมินราคาสำหรับงานก่อสร้าง เช่น
- เว็บไซต์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง: https://www.dpt.go.th/
- เว็บไซต์ของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์: https://asa.or.th/
- เว็บไซต์ของสมาคมวิศวกรโยธาแห่งประเทศไทย: http://www.ceat.or.th/
วิธีการหลักๆ 3 วิธี:
- การประมาณราคาแบบเหมาจ่าย (Lump Sum): เหมาะสำหรับงานที่มีแบบแปลนและรายละเอียดครบถ้วน ผู้รับเหมาเสนอราคาเหมาจ่าย เปรียบเทียบราคาง่าย แต่ต้องระวังราคาต่ำเกินจริง
- การประมาณราคาแบบค่าแรงและวัสดุ (Cost Plus): เหมาะสำหรับงานที่ยังไม่มีแบบแปลน ผู้รับเหมาคิดค่าแรง + ค่าวัสดุ + กำไร เจ้าของโครงการต้องควบคุมค่าใช้จ่าย
- การประมาณราคาแบบหน่วยงาน (Unit Price): เหมาะสำหรับงานที่แบ่งหน่วยย่อยได้ ผู้รับเหมาเสนอราคาต่อหน่วย เจ้าของโครงการคำนวณราคารวมโดยคูณราคาต่อหน่วยกับจำนวนหน่วย
- ประเภทของงาน
- ขนาดของงาน
- ความซับซ้อนของงาน
- สถานที่ก่อสร้าง
- ระยะเวลาก่อสร้าง
- ราคาตลาดวัสดุก่อสร้างและค่าแรงช่าง
- งานก่อสร้างบ้าน: 15,000 – 25,000 บาทต่อตารางเมตร
- งานก่อสร้างอาคารพาณิชย์: 20,000 – 30,000 บาทต่อตารางเมตร
- งานก่อสร้างโรงงาน: 25,000 – 35,000 บาทต่อตารางเมตร
- ศึกษาราคากลางวัสดุก่อสร้าง
- เปรียบเทียบราคาจากผู้รับเหมาหลายราย
- ตรวจสอบใบเสนอราคาอย่างละเอียด
- ทำสัญญาจ้างเหมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
- ควบคุมการใช้วัสดุและค่าแรง
- เผื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- ควรเผื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 10% ของราคางานก่อสร้าง เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
- ตรวจสอบผลงานที่ผ่านมา
- ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
- ขอใบทะเบียนการค้า
- ตรวจสอบเครดิต
- สอบถามจากลูกค้าเก่า
บทความดีๆ ที่น่าสนใจสำหรับผู้รับเหมา
- 5 กลยุทธ์ที่ต้องรู้ ในการเริ่มต้นธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
- 4 กลยุทธ์ควบคุมต้นทุนธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง คู่มือการคำนวณและลดต้นทุน
- 10 กลยุทธ์เด็ด ดึงดูดลูกค้า ปั้นความสำเร็จสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างมือใหม่
- ยื่นประมูลงานใหญ่ ฝันร้ายหรือโอกาสทอง? เช็คลิสต์ 10 ข้อก่อนเสี่ยง!
- 10 กลยุทธ์ลับในการเลือกโครงการก่อสร้างที่ “ใช่” สำหรับคุณ
- 5 สิ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามก่อนจะยื่นประมูลงานก่อสร้าง